ทฤษฎีของกลุ่มที่เน้นการรับรู้และการเชื่อมโยงความคิด(Apperception)
ทิศนา
แขมมณี (2547)
ได้รวบรวมทฤษฎีของกลุ่มที่เน้นการรับรู้และการเชื่อมโยงความคิดไว้ดังนี้ทฤษฎีของกลุ่มที่เน้นการรับรู้และการเชื่อมโยงความคิด
(Appereption
หรือ Herbartianism) นักคิดคนสำคัญในกลุ่มนี้คือ จอห์น ล็อค (John Locke) วิลเฮล์ม วุนด์ (Wilhelm
Wundt) ทิชชเนอร์ (Titchener) และแฮร์บาร์ต (Herbart) ซึ่งมีความเชื่อดังนี้
(Bigge , 1964 : 33-47)
ความเชื่อเกี่ยวกับการเรียนรู้
1)
มนุษย์เกิดมาไม่มีความดีความเลวในตัวเอง การเรียนรู้เกิดได้จากแรงกระตุ้นภายนอก
หรือสิ่งแวดล้อม (neutral - passive)
2) จอห์น ล็อค
เชื่อว่าคนเราเกิดมาพร้อมกับจิตและสมองที่ว่างเปล่า (tabula
rasa) การเรียนรู้เกิดจากการที่บุคคลได้รับประสบการณ์ผ่านทางประสาทสัมผัสทั้ง
5 การส่งเสริมให้บุคคลมีประสบการณ์มากๆ ในหลายๆทาง
จึงเป็นการช่วยให้บุคคลเกิดการเรียนรู้
3) วุนด์ เชื่อว่าจิตมีองค์ประกอบ 2 ส่วนคือ
การสัมผัสทั้ง 5 (sensation) และการรู้สึก
(feeling) คือการตีความหรือแปลความหมายจากการสัมผัส
4) ทิชเชเนอร์มีความเห็นเช่นเดียวกับวุนด์
แต่ได้เพิ่มส่วนประกอบของจิตอีก 1 ส่วน ได้แก่ จิตนาการ (imagination)
5) แฮร์บาร์ต
เชื่อว่าการเรียนรู้มี 3 ระดับ คือ ขั้นการเรียนรู้โดยประสาทสัมผัส (sense
activity) ขั้นการจำความคิดเดิม (memory charcterized) และขั้นการเกิดความคิดรวบยอดและความเข้าใจ (conceptual thinking or
understanding) การเรียนรู้เกิดขึ้นจากการที่บุคคลได้รับประสบการณ์ผ่านทางประสาทสัมผัสทั้ง
5 และสั่งสมประสบการณ์ หรือความรู้เหล่านี้ไว้
การเรียนรู้นี้จะขยายขอบเขตออกไปเรื่อยๆเมื่อบุคคลได้รับประสบการณ์ความรู้เดิมเข้าด้วยกัน
(appercetion)
6) แฮร์บาร์ตเชื่อว่า
การสอนควรเริ่มจากการทบทวนความรู้เดิมของผู้เรียนเสียก่อนแล้วจึงเสนอความรู้ใหม่
ต่อไปควรจะช่วยให้ผู้เรียนสร้างความสัมพันธ์ระหว่างความรู้เดิมกับความรู้ใหม่
จนได้ข้อสรุปที่ต้องการแล้วจึงให้ผู้เรียนนำข้อสรุปที่ได้ไปประยุกต์ใช้กับปัญหาหรือสถานการณ์ใหม่
หลักการจัดการศึกษา/การสอน
1)
การจัดให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ผ่านทางประสาทสัมผัสทั้ง 5
เป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน
2)
การช่วยให้ผู้เรียนสร้างความสัมพันธ์ระหว่างความรู้เดิมกับความรู้ใหม่จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจเป็นอย่างดี
3) การสอนโดยดำเนินการตาม 5
ขั้นตอนของแฮร์บาร์ต จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีและรวดเร็ว
ขั้นตอนดังกล่าวคือ
3.1 ขั้นเตรียมการหรือขั้นนำ (preparation)
ได้แก่ การเร้าความสนใจของผู้เรียนและการทบทวนความรู้เดิม
3.2 ขั้นเสนอ (presentation)
ได้แก่ การเสนอความรู้ใหม่
3.3
ขั้นการสัมพันธ์ความรู้เดิมกับความรู้ใหม่ (comparison and
abstraction) ได้แก่
การขยายความรู้เดิมให้กว้างออกไป โดยสัมพันธ์ความรู้เดิมให้กว้างออกไป
โดยสัมพันธ์ความรู้เดิมกับความรู้ใหม่ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การเปรียบเทียบ
การผสมผสาน ฯลฯ ทำให้ได้ข้อเท็จจริงใหม่ที่สัมพันธ์กับประสบการณ์เดิม
3.4 ขั้นสรุป (generalization)
ได้แก่ การสรุปการเรียนรู้เป็นหลักการหรือกฎต่างๆ
ที่สามารถจะนำไปประยุกต์ใช้กับปัญหาหรือสถานการณ์อื่นๆต่อไป
3.5 ขั้นประยุกต์ใช้ (application)
ได้แก่
การให้ผู้เรียนนำข้อสรุปหรือการเรียนรู้ที่ได้ไปใช้ในการแก้ปัญหาในสถานการณ์ใหม่ๆที่ไม่เหมือนเดิม
สยุมพร ศรีมุงคุณ (https://www.gotoknow.org/posts/341272)
ได้กล่าวถึงทฤษฎีของกลุ่มที่เน้นการรับรู้และการเชื่อมโยงความคิด(Apperception)ไว้ว่า
การเรียนรู้เกิดจากแรงกระตุ้นภายนอกหรือสิ่งแวดล้อม(neutral -
passive) การเรียนรู้เกิดจากการที่บุคคลได้รับประสบการณ์ผ่านทางประสาทสัมผัสทั้ง
5 (sensation) และความรู้สึก(feeling)
คือ
การตีความหรือแปลความหมายจากการสัมผัสการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฏีนี้จึงเน้นให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ผ่านทางประสาทสัมผัสทั้ง
5 และสร้างความสัมพันธ์ระหว่างความรู้เดิมกับความรู้ใหม่ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจได้เป็นอย่างดี
ปรียาพร
วงศ์อนุตรโรจน์ (2546)
ทฤษฎีการเชื่องโยงมีหลักเบื้องต้นว่า
การเรียนรู้เกิดจากการเชื่องโยงระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนอง โดยแสดงในรูปแบบต่างๆ
จนกว่าจะเป็นที่พอใจที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งเรียกว่า การลองถูกลองผิด
ทฤษฎีการเชื่อมโยงจะเน้นเรื่องการฝึกหัดซ้ำและการให้การเสริมแรง
ผู้เรียนจะต้องได้รับความช่วยเหลือในด้านการมองเห็นความแตกต่าง
สรุป
ทฤษฎีของกลุ่มที่เน้นการรับรู้และการเชื่อมโยงความคิด
เกิดจากแรงกระตุ้นภายนอกหรือสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้จะเกิดจากการได้รับประสบการณ์ผ่านทางประสาทสัมผัสทั้ง
5 และความรู้สึก คือ
การตีความหรือแปลความหมายจากการสัมผัสการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฏีนี้จึงเน้นให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ตรง
และเชื่อมโยงระหว่างความรู้เก่าที่อยู่อยู่ (ก่อนการเรียนรู้) กับความรู้ใหม่ (หลังจากการเรียนรู้)
ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อ้างอิง
ทิศนา
แขมมณี.(2547).ศาสตร์การสอน :
องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ. (พิมพ์ครั้งที่
12). กรุงเทพฯ : ด่านสุทธาการพิมพ์.
สยุมพร ศรีมุงคุณ.(2553).https://www.gotoknow.org/posts/341272[ออนไลน์]เข้าถึงเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2561.
ปรียาพร
วงศ์อนุตรโรจน์. (2546).จิตวิทยาการศึกษา. กรุงเทพฯ: ศูนย์สื่อเสริมกรุงเทพ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น